“พยัคฆ์ล้านนา” เชียงใหม่ เอฟซี ทีมในศึกโตโยต้า ไทยลีก ได้โพสต์ผ่านเพจของสโมสร ชี้แจงเหตุผลอย่างละเอียดที่ทีมต้องย้ายไปเล่นที่สนามสิงห์ สเตเดี้ยม จ.เชียงราย พร้อมยืนยันว่าเกมที่จะเปิดบ้านพบกับ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ในวันที่ 12 ก.ค. จะเป็นเกมสุดท้ายที่ทีมจะใช้สนามกีฬาสมโภช 700 ปี ลงทำการแข่งขัน ก่อนส่งมอบให้ กกท. ไปปรับปรุงซ่อมแซมตามคำสั่งต่อไป
โดยทางสโมสรเชียงใหม่ เอฟซี ได้ออกมาชี้แจงดังนี้
คำชี้แจงกรณี สโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ เอฟซี ย้ายสนามเหย้าในเลกที่สอง ของศึกไทยลีก 2019
สืบเนื่องจากสนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี รังเหย้าของทีมเชียงใหม่ เอฟซี ได้รับเลือกจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ให้ใช้เป็นหนึ่งในสนามเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในช่วงเดือน มกราคม 2563 ซึ่งจะต้องมีการปิดปรับปรุงสนามดังกล่าว เพื่อรองรับการแข่งขันในครั้งนี้ โดยทางสโมสรฯ ได้รับหนังสือแจ้งมาในเดือน เมษายน ว่า ให้หยุดใช้สนาม 700 ปี ตั้งแต่เดือน มิถุนายน เป็นต้นไป
บอร์ดบริหาร ได้เดินทางไปตรวจสอบสนามต่างๆในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่คาดว่าน่าจะใช้ทำการแข่งขันได้ ไม่ว่าจะเป็น สนามของ ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (ดอยสะเก็ด) , สนามอินทนิล ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ , สนามกีฬาเทศบาลฯ และ สนามของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โดยสนามที่ใช้ทำการแข่งขันได้ จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญหลักๆ ได้แก่
1.ความสว่างของไฟสนาม
2.สภาพพื้นสนาม
3.ความจุผู้ชม
4.ความพร้อมเเละจำนวนของห้องต่างๆที่ใช้รับรองในวันที่ทำการเเข่งขันทั้งนี้ มาตรฐานที่กล่าวมา คือกฎเกณฑ์ของสมาคมฯ และ บ.ไทยลีก จำกัด ซึ่งในระดับ ‘ไทยลีก’ จะมีข้อปลีกย่อย ข้อจำกัด ที่แตกต่างจากในระดับ ไทยลีก2 และ ไทยลีก3 หลายประการ
ซึ่งจากการตรวจสอบทุกสนาม ทางสโมสรฯ พบว่า แต่ละสนาม มีปัญหาในแต่ละจุดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไฟที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าความสว่าง, พื้นหญ้า พื้นสนาม ที่ต้องปรับสภาพใหม่ทั้งหมด, ความจุผู้ชม ที่จะต้องได้ตามมาตรฐานกำหนด รวมไปถึงห้องต่างๆ, สิ่งอำนวยความสะดวก, สถานที่จอดรถ, ตลอดจนการเดินทางสู่สนาม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนใช้ระยะเวลาปรับดำเนินการให้ผ่านตามเกณฑ์ หรือทันตามกำหนด ย่อมเป็นไปได้ยาก ตลอดจนมีงบประมาณที่สูงเป็นอย่างมาก
โดยในส่วนของงบประมาณ การปรับปรุงสนามทั้งหมดนั้น จากการตรวจสอบประเมินราคาเบื้องต้น พบว่า
1. ค่าสว่างไฟที่ผ่านตามเกณฑ์ จะต้องอยู่ที่ 1200-1500 ลักซ์ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 6 ล้านบาท
2. การปรับปรุงพื้นสนามอยู่ที่ 1 ล้านบาท
3. การปรับห้องต่างๆ อาทิ ทีมเหย้า, ทีมเยือน, ห้องผู้ตัดสิน, ห้องประชุม, ห้องแมทช์คอม, ห้องตรวจสารกระตุ้น, ห้องแถลงข่าว, ห้องทำงานสื่อ, ห้องน้ำ ฯลฯ ติดตั้งอุปกรณเพิ่มเติม เช่น แอร์ ประมาณการอยู่ที่ 6 แสนบาท ขึ้นไป
4. ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงที่นั่ง หรือ เพิ่มความจุผู้ชม เนื่องจากทุกสนามในเชียงใหม่ มีความจุราว 2000 – 3500 คน เท่านั้น อีกทั้งบางสนาม อาจต้องมีการปรับพื้นที่ในการรองรับที่จอดรถอีกด้วยดังนั้น สรุปงบประมาณค่าใช้จ่าย เพื่อใช้รองรับการแข่งขัน ที่ต้องผ่านตามเกณฑ์ของสมาคมฯ และ บ.ไทยลีก จำกัด นั้น จะอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านบาท ต่อการใช้งานเพื่อแข่งขันเกมเหย้าทั้งหมด 7 – 8 นัด ในเลกที่สอง (หรือเฉลี่ย ตกนัดละ 1 ล้านบาท)
ทางสโมสรฯ ขอขอบคุณเจ้าของสถานที่ในแต่ละสนาม ที่ให้ความร่วมมือ เอื้อเฟื้อข้อมูล ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเข้าไปตรวจสอบในแต่ละจุด รวมไปถึงทาง การกีฬาแห่งประเทศไทย ภาค 5 ที่อนุญาตให้ทางสโมสรฯ ใช้สนาม 700 ปี ล่วงเลยจากกำหนดการเดิม มา ณ ที่นี้
ทั้งนี้ บอร์ดบริหาร ขอชี้แจงให้ทราบว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทีม เชียงใหม่ เอฟซี จะต้องเดินทางไปใช้สนามเหย้าที่ สนาม สิงห์ สเตเดี้ยม จ.เชียงราย ในเลกที่สอง เนื่องจากผ่านเกณฑ์ในทุกข้อกำหนด ของสมาคมฯ และ บ.ไทยลีก จำกัด อีกทั้งสนามดังกล่าว ยังเคยใช้ในรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ มาแล้ว โดยทางสโมสรฯ ได้ทำหนังสือชี้แจง ขออนุญาตใช้สนาม ส่งทางสมาคม และได้รับการตอบกลับมา เป็นที่เรียบร้อย
ทางสโมสรฯ จึงขอแจ้งให้แฟนบอลทุกท่านทราบ และขออภัย ในความจำเป็นอย่างยิ่งของการย้ายสนามในครั้งนี้ โดยเกมนัดสุดท้ายที่เชียงใหม่ จะลงเตะในสนาม 700 ปี คือนัดวันที่ 12 กค 2562 พบกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ซึ่งในส่วนของมาตรการรองรับแฟนบอลตั๋วปี จะดำเนินการแจ้งให้ทราบโดยเร็ว และทางสโมสรฯ อยากให้แฟนบอลมั่นใจว่า บอร์ดบริหาร ย่อมให้ความสำคัญ และ รับรู้ถึงความต้องการของแฟนบอลเชียงใหม่ อีกทั้งเรายังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสโมสรฯ ให้เดินหน้า อย่างยั่งยืนต่อไป
คำชี้แจงกรณี สโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ เอฟซี ย้ายสนามเหย้าในเลกที่สอง ของศึกไทยลีก 2019สืบเนื่องจากสนามสมโภชเชียงใหม่ 700…
Posted by Official Chiangmai Football Club on Thursday, June 27, 2019
Cr. ภาพ : CMFC