หลายคนอาจจะลืมเขาไปแล้ว หรือบางคนอาจจะเป็นบุคคลในความทรงจำ ว่าเขาคนนี้ เคยลงวาดฝีเท้าบนพื้นสนามในเวทีไทยลีกมาก่อน
วันนี้ Ufadb88.com จะนำปัจจุบันของ 10 นักเตะเหล่านั้น มาให้ได้อ่านกัน ว่าตอนนี้ พวกเขาอยู่ทีมอะไรบ้าง ในศึกฟุตบอล AFC Cup 2018
หลายคนอาจจะจำแข้งโสมขาวรายนี้ได้เป็นอย่างดี
โดยนักเตะรายนี้ ตัดสินใจย้ายเข้ามาค้าแข้งในแผ่นดินสยาม ด้วยการย้ายจาก “อุลซาน ฮุนได” ยักษ์ใหญ่ในเคลีก เกาหลีใต้ มาร่วมทีม “อินทรี เพื่อนตำรวจ” ทีมในศึกไทยพรีเมียร์ลีกเวลานั้น และแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับสมุทรสงคราม เอฟซี,ทีโอที เอสซี ก่อนที่จะไม่ได้ไปต่อกับฮัลโหลเนื่องจากทีมไม่สามารถส่งเข้าร่วมการแข่งขันได้เพราะปัญหาทางการเงินเมื่อปี 2016 เขาจึงตัดสินใจหลีกหนีความวุ่นวายในลีกไทยเวลานั้น กลับไปเล่นในลีกบ้านเกิดกับ “ฮวาซอง เอฟซี” และ “กิมโป เอฟซี” ทีมในศึก K3 ของเกาหลีใต้
ก่อนที่เขาจะกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง ด้วยการลงไปเล่นในลีกล่างสุดของประเทศกับ “บ้านค่าย ยูไนเต็ด” ในปี 2017 และย้ายมาเล่นในศึก T3 กับ “แพร่ ยูไนเต็ด” ในเลกที่ 2 ของปีเดียวกัน ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายออกจากประเทศไทย ไปค้าแข้งกับแชมป์ลีกเมียนมาร์อย่าง “ฉาน ยูไนเต็ด” เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา และเจ้าตัวได้มีโอกาสลงแข่งขันในฟุตบอล AFC Champions League 2018 รอบเพลย์ออฟรอบแรก ก่อนที่จะพ่ายทีมแกร่งอย่างเซเรส-เนกรอส ตกลงมาเล่นในฟุตบอล AFC Cup และเจ้าตัวก็ได้มีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องทั้งในลีกและฟุตบอลเอเชีย เนื่องจากผลงานที่ยังคงเส้นคงวา ทำให้เขายึดตำแหน่งตัวจริงในถิ่น “ตองจี สเตเดี้ยม” ได้ไม่ยากนัก
แข้งชาวญี่ปุ่นวัย 26 ปี รายนี้ บางคนอาจจะจำเขาไม่ได้ว่า เขาเคยเล่นไทยลีกด้วยหรือ
ยูโกะ โคบายาชิ เริ่มต้นการค้าแข้งในญี่ปุ่น เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี กับ “เทสป้าคูซัตซึ กุนมะ” ทีมในศึก J2 ญี่ปุ่น ก่อนที่จะย้ายมาเล่นในลีกฟิลิปปินส์กับ JPV Makina และเขาก็ตัดสินใจเข้ามาเล่นในลีกไทยกับ “วัวชนแดนใต้” สงขลา ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2015 โดยในตอนนั้น ทีมอยู๋ในศึกยามาฮ่า ลีกวัน ในฐานะทีมที่เพิ่งตกลงมาจากศึกไทยลีก
ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเขาในสนามติณสูลานนท์ นั้นก็คือพาวัวชนแดนใต้ตัวนี้ กลับสู่ลีกสูงสุดให้ได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ แต่ยูโกะ โคบายาชิ ก็ถือเป็น 1 ในนักเตะหลักของสงขลา ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนั้น แม้ในเลกแรกเขาจะทำประตูไม่ได้เลย แต่ในเลกสอง เขาก็สามารถเค้นศักยภาพออกมาได้ ทำให้เขาโชว์ฟอร์มในสนามได้อย่างโดดเด่น และทำไปได้ถึง 7 ประตู
แต่ในปีต่อมา (2016) ยูโกะทำประตูไปได้ 3 ประตูตลอดเลกแรก (บอลถ้วย 1ประตู) แต่เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงที่หัวเข่า ทำให้ในช่วงเลกสอง เขาแทบไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมเลยเนื่องจากต้องไปรักษาตัวที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะยกเลิกสัญญากับทีมไป เนื่องจากทีมมีปัญหาทางการเงิน ทำให้ต้องโล๊ะนักเตะออกเกือบทั้งทีมและนำนักเตะท้องถิ่นมาเล่น จนทีมต้องมีอันตกชั้นในฤดูกาลถัดมา และสุดท้ายก็ถูกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ห้ามส่งทีมลงแข่งขันเป็นระยะเวลา 2 ปี เนื่องจากไม่ผ่านคลับไลเซนซิ่ง และต้องไปเริ่มใหม่ในศึก T4
ก่อนที่ในปี 2017 เขาจะหายจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า และได้กลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทีม “ไอซาวล์ เอฟซี” ทีมในศึกไอ-ลีก อินเดีย และสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ คว้าสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอล AFC Champions League รอบเพลย์ออฟ ก่อนที่จะแพ้ทีมแกร่งอย่าง “โซบ อฮาน” จากอิหร่าน ไปด้วยสกอร์ 3-1 กลับมาเล่นถ้วยเล็กอย่าง AFC Cup ตามเดิม
โดยไอซาวล์ จะมีโปรแกรมลงเล่นนัดแรกในศึก AFC Cup รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ในวันที่ 7 มีนาคมนี้ โดยจะพบกับทีมที่ชนะในรอบเพลย์ออฟโซนเอเชียใต้ ระหว่าง ทีซี สปอร์ต (มัลดีฟส์) กับ เบงกาลูรู เอฟซี (อินเดีย)
เชื่อว่าคนที่ดูไทยลีกช่วง 5-6 ปีหลัง คงไม่มีใครไม่รู้จักกองหน้าจอมโหม่งชาวสเปนรายนี้อย่างแน่นอน
“รูฟิโน่ ซานเชซ” หรือ “รูโฟ่” ในวัย 31 ปี เริ่มค้าแข้งในลีกสเปนกับ “ทิโร ปิชอน” ทีมแถบอันดาลูเซีย ในปี 2006 ก่อนที่เขาจะย้ายไปอีกหลายสโมสรในช่วงปี 2007-2012 และในช่วงเวลานั้น เขาแทบจะไม่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงให้ทีมใดเลย จนเขาท้อแท้และเกือบจะเลิกเล่น
แต่โชคชะตายังเข้าข้าง เมื่อ “สตัลเลี่ยน” ทีมในลีกฟิลิปปินส์ ตัดสินใจดึงตัวเขาไปร่วมทีมเมื่อปี 2012 ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการซัดไปถึง 18 ประตู จาก 14 นัด ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับ “โกลบอล เซบู” เพื่อนร่วมลีก และได้กลับไปเล่นในลีกบ้านเกิดกับ “อินเตอร์นาซิอองนาล มาดริด” แต่ก็ต้องกลับไปเจอชะตากรรมเดิม คือนั่งมองเพื่อนเล่นอยู่ข้างสนาม
จนในปี 2014 เขาได้เริ่มเส้นทางค้าแข้งในไทยกับ “พีทีที ระยอง” ทีมน้องใหม่ในศึกไทยพรีเมียร์ลีกเวลานั้น และแจ้งเกิดทันทีในนัดแรกด้วยการโขกประตูขึ้นนำ “สิงห์ท่าเรือ” ถึงถิ่นแพท สเตเดี้ยม ก่อนที่จะเสมอกันไป 1-1 ในวันนั้น แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำของแฟนบอล พีทีที ระยอง นับแต่วันนั้น
ถึงแม้ฤดูกาลนั้น เขาจะไม่สามารถพาต้นสังกัดรอดจากการตกชั้นที่มีถึง 5 ทีมได้ แต่เขาก็เป็นตัวหลักของทีม โดยเจ้าตัวลงสนามไป 26 นัด ทำไป 7 ประตู ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นให้กับเพื่อนร่วมลีกอย่าง “สงขลา ยูไนเต็ด” ในฤดูกาลถัดมา
ซึ่งฤดูกาล 2015 ของ “รูโฟ่” กับ “สงขลา ยูไนเต็ด” ถือว่าเป็นปีแจ้งเกิดของเขาอย่างแท้จริง เนื่องจากเขาสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเขาสามารถทำประตูได้ถึง 17 ประตู เป็นดาวซัลโวของทีมในปีนั้น ทำให้เขาได้อยู่กับทีมต่อไปอีก 1 ฤดูกาล
ในฤดูกาล 2016 “รูโฟ่” อาจจะไม่โดดเด่นนัก ในสีเสื้อของสงขลา ยูไนเต็ด เนื่องจากโดนรัศมีของ “วิลเลียน โมตา” กองหน้าชาวบราซิลที่ทำผลงานยิงได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เขาก็มีส่วนช่วยทำให้ทีมจบในอันดับที่ 6 ของลีก และพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ ได้อีกด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ไปต่อกับทีม เนื่องจากทีมมีปัญหาทางการเงินจนต้องโล๊ะนักเตะออกเกือบทั้งหมด
หลังจากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปเล่นในลีกบ้านเกิดให้กับ “ซานลูเกโญ่” ทีมในศึกเซกุนด้า เบ ก่อนที่จะกลับมาเล่นให้กับโกลบอล เซบู อีกครั้ง และได้ลงสนามในศึกฟุตบอล AFC Cup รอบแบ่งกลุ่ม
แฟนบอลไทยน่าจะจดจำเขาคนนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์การเล่นและทรงผมโมฮอว์กที่เป็นเอกลักษณ์
กองหน้าชาวไนจีเรีย วัย 27 ปี รายนี้ เริ่มต้นค้าแข้งในดินแดนนครวัด กับ “นากาเวิลด์” ยักษ์ใหญ่ของซีลีก กัมพูชา ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาค้าแข้งในประเทศไทยกับ “รังสิต เอฟซี” เมื่อปี 2012 ก่อนที่ “อินทรีทัพฟ้า” แอร์ฟอร์ซ เอวีเอ เอฟซี (ชื่อในเวลานั้น) จะดึงตัวเขาไปร่วมทีมเมื่อปี 2013 ก่อนที่เขาจะกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอินทรีทัพฟ้า และพาทีมขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุดได้ในรอบ 10 ปี กับผลงานลงสนามไป 29 นัด ทำไป 12 ประตู
แต่หลังจากนั้น ในฤดูกาลต่อมา เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับทีมในศึกดิวิชั่น 1 อย่าง “บีบีซียู เอฟซี” และก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลเสือสามย่านได้ในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยผลงานการทำประตูอย่างเป็นกอบกำถึง 17 ประตู จากการลงสนาม 21 นัด ในฤดูกาล 2014 แต่ก็ไม่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นได้
ก่อนที่ในฤดูกาล 2015 เขาจะกลับไปเล่นให้กับ “แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี” ทีมที่เขาแจ้งเกิด กับบรรยากาศทุกอย่างที่ใหม่หมด เพราะในฤดูกาลนั้น ถือเป็นฤดูกาลแรกที่ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในการคุมทีม
โดยในฤดูกาลนั้น เขาทำผลงานได้อย่างดีเหมือนกับปี 2013 โดยการทำประตูไปถึง 8 ประตูในเลกแรก แต่สุดท้ายเขาก็ถูกปล่อยตัวไปให้กับ “ไทยฮอนด้า ลาดกระบัง เอฟซี” ไปใช้งานในเลกที่สอง ก่อนที่เขาจะย้ายออกจากทีมหลังจบฤดูกาล และย้ายกลับไปเล่นให้กับ “บีบีซียู เอฟซี” ในปี 2016 พร้อมพาทีมตกชั้นในฤดูกาลนั้น
ก่อนที่ในปี 2017 เขาตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับ “สโมสรฟุตบอลราชนาวี” ทีมในศึกไทยลีก แต่เขาไม่เคยมาซ้อมกับทีมเลย โดยให้เหตุผลว่าติดธุระเรื่องครอบครัว จนสุดท้ายเขาก็ยกเลิกสัญญา และย้ายไปเล่นที่บึงเกต จนถึงปัจจุบัน
และในนัดล่าสุด ที่จูเลียส ลงสนามให้กับบึงเกต ในศึกฟุตบอล AFC Cup 2018 รอบแบ่งกลุ่ม ก็ทำผลงานได้ไม่สวยหรูนัก ด้วยการโดน “เซเรส-เนกรอส” ทีมแกร่งจากฟิลิปปินส์ไล่ถล่มถึง 9-0 ชนิดว่ากลับกรุงพนมเปญไม่ถูกเลยทีเดียว
แฟนๆ ของทีมในตำนานอย่างโอสถสภา คงจะจำนักเตะรายนี้ได้เป็นอย่างดี
“แอดดิสัน อัลเวส” กองหน้าจอมถล่มประตูชาวบราซิล วัย 36 ปี ถือเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์ในลีกสเปนมาอย่างโชกโชนในวัยหนุ่ม เพราะเขาเคยค้าแข้งกับทีมในแดนกระทิงดุอย่าง คูลตูเรา เลโอนาซา,เอร์กูเลส,คาร์ตาเกน่า และ โบร์กอส ก่อนจะย้ายมาเล่นในอินโดนิเซีย กับ “พีเอสไอเอส เซมาราง” ในปี 2013 และย้ายไปเล่นให้กับ “เปอร์เซลา ลามองกาน” ในปี 2014 ก่อนที่ลีกอินโดนิเซียจะถูกระงับการแข่งขัน และสมาคมฟุตบอลอินโดนิเซียถูกฟีฟ่าแบนในเวลาต่อมา นั้นคือการปูทางสู่การเริ่มต้นการค้าแข้งในประเทศไทยของเขา
แอดดิสัน ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีม “โอสถสภา M-150” ในศึกโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015 และก็เป็นปีที่เขาแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลไทย ด้วยการทำไปถึง 12 ประตูในฤดูกาลนั้น พร้อมกับเป็นดาวซัลโวของทีมและพาทีมหนีรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ
ก่อนที่ในปี 2016 เขาได้ตัดสินย้ายสู่เมืองสัตหีบ ไปร่วมทัพตะหานน้ำ “สโมสรฟุตบอลราชนาวี” ทีมเพื่อนร่วมลีก และเขาก็เป็นตัวหลักของทีมในฤดูกาลนั้น แต่ก็โชว์ฟอร์มได้ไม่เปรี้ยงปร้างเท่ากับตอนที่เขาอยู่กับโอสถสภา โดยเจ้าตัวลงสนามไป 20 นัด ทำได้เพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น ก่อนที่จะไม่ได้ไปต่อกับทัพตะหานน้ำ
สุดท้าย เจ้าตัวก็ตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในลีกอินโดนิเซียเหมือนเดิม หลังลีกแดนอิเหนากลับมาฟาดแข้งอีกครั้งหลังพ้นโทษแบนจากฟีฟ่า ในปี 2017 กับ “เปอร์ซิปุระ จายาปุระ” ทีมยักษ์ใหญ่ที่อยู่ไกลที่สุดในลีก และเขาก็กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้ง จากการยิงไป 15 ประตู ใน 30 นัดที่เขาลงเล่น
ก่อนที่ในปีถัดมา เขาได้ตัดสินใจย้ายตัวเองเข้ามายังเมืองหลวง มาอยู่กับ “เปอร์ซิย่า จาการ์ต้า” ยักษ์ใหญ่อีกทีมของลีกอินโดนิเซีย” ซึ่งย้ายมาอยู่กับโค้ชคู่บุญอย่าง “เตโก้” สเตฟาโน่ คูกูร่า โค้ชชาวบราซิลที่เคยร่วมงานด้วยตอนค้าแข้งอยู่ในศึกไทยพรีเมียร์ลีก และก็ทำให้แอดดิสัน ได้ลงเล่นในฟุตบอลเอเชียอย่าง AFC Cup เป็นครั้งแรก ในแมตช์ที่บุกไปพ่าย “ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม” ทีมแกร่งจากมาเลเซีย ไปด้วยสกอร์ 0-3 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
และความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของแอดดิสันคือ เขารักประเทศไทยมาก จนตั้งชื่อเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาเป็นภาษาไทยว่า “แอดดิสัน อัลเวส”
นักเตะโควต้าอาเซียนที่ลงสนามคนแรกในประวัติศาสตร์ลีกไทย ก็ติดอยู่ในบทความนี้เช่นกัน
“ไมค์ ออต” กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติฟิลิปปินส์วัย 22 ปี อย่างที่ทราบกันดี เขาคือนักเตะโควต้าอาเซียนคนแรกๆ ในศึกไทยลีก ตั้งแต่ไทยลีกเปิดให้มีนักเตะในตำแหน่งโควต้าอาเซียนเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา
โดยไมค์ ได้ย้ายมาจาก “เนิร์นแบรก เบ” ทีมในศึกเรกิโอนาลลีกา เยอรมัน มาร่วมทีมอ่างทอง เอฟซี เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา และถือเป็นตัวหลักของทีมก็ว่าได้ โดยเขาลงสนามให้กับทัพนักรบรวงทองไป 21 นัด ทำไป 7 ประตู แต่สุดท้าย เจ้าตัวก็ไม่ได้ไปต่อกับทีม เพราะทางทีมได้ดึง “อ่อง คยอ เนียง” มิดฟิลด์ชาวเมียนมาร์ มาเล่นในตำแหน่งโควต้าอาเซียนแทน
แต่การไปเล่นในฟิลิปปินส์กับ “เซเรส-เนกรอส” ของออตนั้น ถือเป็นการสร้างเกียรติประวัติของตัวเขาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเขาอยู่ในชุดที่พาทีมล้มยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลียอย่าง “บริสเบน รอร์” ถึงบ้าน ในศึก AFC Champions League รอบคัดเลือก รอบที่ 2 แบบสนั่นสั่นสะเทือนทั้งเอเชียเลยทีเดียว
นักเตะชาวญี่ปุ่นรายนี้ แฟนบอลแถบภาคตะวันออกของไทย ไม่มีใครที่ไม่น่าจะเคยได้ยินชื่อของเขา
“โคจิมะ เซย์ย่า” ในวัย 28 ปี เริ่มต้นค้าแข้งในลีก JFL ญี่ปุ่นกับ “มหาวิทยายุตสุ เคนไซ” ก่อนที่ในปี 2012 เขาจะย้ายมาร่วมทีม “ศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี” ทีมในศึกยามาฮ่า ลีกวัน ก่อนที่ในช่วงเลกที่ 2 ของปี 2013 ศรีราชาก็ปล่อยตัวเขาไปอยู่กับ “สโมสรฟุตบอลราชนาวี” ทีมร่วมลีกในเวลานั้น เนื่องจากศรีราชา กำลังประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากขาดหัวเรือใหญ่อย่าง “นายกปี๊ด” ฉัตรชัย ทิมกระจ่าง ประธานสโมสรที่ประกาศลาออก และเซย์ย่า ก็เป็น 1 ในกำลังสำคัญที่ทำให้ราชนาวี รอดตกชั้นได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น
และในปีต่อมา (2014) เขาก็ย้ายไปอยู่กับ “นักรบกรุงศรี” อยุธยา เอฟซี ทีมร่วมลีก และยังเป็นกำลังสำคัญพาทีมลุ้นตั๋วไทยลีกในฤดูกาลนั้นอีกด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ จบอันดับที่ 6 อยู่ลีกวันต่ออีกปี แต่ในปีต่อมา สโมสรก็ประสบปัญหาหลายอย่าง ทั้งในเรื่องสนามที่ยังไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากไม่มีไฟสนาม (ไฟสนามเสียหายเนื่องจากพายุฤดูร้อนเมื่อช่วงกลางปี 2014) และงบประมาณ ทำให้นักรบกรุงศรีต้องโบกมือลาเวทีลีกพระรองด้วยการจบอันดับ 17 ในฤดูกาล 2015 และเซย์ย่า ก็อำลาทีมไป
และในปี 2016 เจ้าตัวก็ย้ายไปลงเล่นให้กับ “เดอะ ทีเร็กซ์” ขอนแก่น เอฟซี ในศึกลีกภูมิภาค โดยในปีนั้น เขาพาทีมเลื่อนชั้นไปเล่นในศึกไทยลีก 3 ได้สำเร็จ ในฐานะทีมอันดับที่ 4 ของโซนอีสาน
ก่อนที่ในเลกที่ 2 ปี 2017 เซย์ย่าจะกลับไปเล่นให้กับ “สโมสรฟุตบอลราชนาวี” อีกครั้ง และเป็นกำลังหลักสำคัญพาทีมรอดตกชั้นได้สำเร็จ ก่อนที่จะไม่ได้ไปต่อกับราชนาวี หลังไม่อยู่ในแผนการทำทีม
และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ “ดากา อบาฮานี” ทีมยักษ์ใหญ่ของลีกบังคลาเทศ และเจ้าตัวอาจจะได้ลงเล่นในฟุตบอลเอเชียเป็นครั้งแรก ในนัดที่จะเปิดบ้านพบกับ “นิว ราเดียนท์” ทีมจากมัลดีฟส์ ในวันที่ 7 มีนาคมนี้
Seiya Kojima is now a #SkyBlue! 🔷#DhakaAbahani #PlayerAnnouncement #AFCCup2018 #SEIYAisSkyBlue
Posted by Dhaka Abahani on Wednesday, February 7, 2018
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักแข้งลูกครึ่งดัตช์-อินโดนิเซีย รายนี้ เพราะเขาเพิ่งมาเมืองไทยเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
“อิรฟาน บัชดิม” ในวัย 29 ปี เป็นกองหน้าทีมชาติอินโดนิเซีย ที่มีเชื้อสายดัตช์ และเขาถือเป็นนักเตะอินโดนิเซียคนแรกๆ ที่เข้ามาเล่นในศึกไทยลีก โดยเขาเคยค้าแข้งอยู่กับยักษ์ใหญ่อย่าง “ชลบุรี เอฟซี” และในระหว่างนั้น ต้นสังกัดก็ส่งให้ “ศรีราชา ซูซูิ เอฟซี” ยืมตัวเขาไปร่วมทัพและช่วยทีมหนีรอดตกชั้นได้สำเร็จในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2013 ก่อนที่จะกลับต้นสังกัดเดิม แต่ก็ไม่มีโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร
หลังจากที่เขาออกจากชลบุรีไป ในปี 2014 เขาได้ย้ายไปเล่นในศึกเจลีก กับ “เวนท์ฟอเรท์ โคฟุ” ก่อนที่ในปีต่อมา เขาจะลงไปเล่นใน J2 กับ คอนซาโดเล ซัปโปโร ก่อนที่เขาจะย้ายออกในฤดูกาล 2016 และกลับมาเล่นในลีกอินโดนิเซียในปี 2017 กับทีมมหาเศรษฐีอย่าง “บาหลี ยูไนเต็ด” และพาทีมจบรองแชมป์ลีก พร้อมกับคว้าสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอล AFC Champions League 2018 รอบคัดเลือกรอบแรก แทนที่ของ “บายังการา เอฟซี” ที่ไม่ผ่านคลับไลเซนซิ่ง
และในตอนนี้ บัชดิม ก็ยังลงเล่นให้กับบาหลี ยูไนเต็ด ในศึก AFC Cup 2018 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม G
เชื่อว่าแฟนบอลทางเหนือ คงจะเคยได้ยินชื่อของกองหน้าชาวบราซิลรายนี้ไม่มากก็น้อย
“ไมคอน คาลิจูรี่” หรือที่แฟนบอลไทยรู้จักกันในชื่อ “ดักลาส ไมคอน” กองหน้าชาวแซมบ้าวัย 31 ปี รายนี้ เคยมีดีกรีเล่นในลีกโปแลนด์กับ จากิลโลเนีย,เพียส กลีวิช และทีมดังอย่าง “บาเต้ โบริซอฟ” ก่อนที่จะย้ายมาค้าแข้งในประเทศไทยกับ “พยัคฆ์ล้านนา” เชียงใหม่ เอฟซี ในศึกยามาฮ่า ลีกวัน เมื่อปี 2015 แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร โดยเจ้าตัวลงสนามไปเพียงแค่ 6 นัดเท่านั้น และทำไปเพียง 1 ประตู
ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมา เจ้าตัวขยับลงมาจังหวัดข้างๆ มาเล่นให้กับ “ลำปาง เอฟซี” คู่แค้นตลอดกาล แต่ก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ และไม่ค่อยได้ลงสนามเหมือนเดิม โดยเจ้าตัวลงสนามไปเพียงแค่ 8 นัดเท่านั้น ทำไปได้แค่ 1 ประตูเหมือนเดิม ก่อนที่ในเลกที่ 2 เขาจะเบนเข็มย้ายไปเล่นให้กับ “เปอร์ซิบา บาลิกปาปัน” ในลีกเฉพาะกิจอินโดนิเซีย
ก่อนที่ในปี 2017 เขาได้ย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ของกัมพูชาอย่าง “บึงเกต เอฟซี” และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงไป 25 ประตู จาก 23 นัดที่ลงสนาม กลายเป็นดาวยิงประจำทีมไปเป็นที่เรียบร้อย และติดทีมไปแข่งขันในศึก AFC Cup 2018
เชื่อว่าแฟนบอลไทยหลายคนอาจจะจำไม่ได้ ว่าเขาเคยมาเล่นในไทยลีกด้วย เพราะเขามาอยู่ในเมืองไทยแค่ปีเดียวเท่านั้น
“ลูคัส กีคีวิซ” กองหน้าชาวโปแลนด์ วัย 30 ปี รายนี้ มีดีกรีผ่านประสบการณ์เล่นในลีกยุโรปมาอย่างโชกโชน เช่น “โอโมเนีย นิโคเซีย” และ “เลฟสกี้ โซเฟีย” ก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาเล่นในตะวันออกกลางกับ “อัล-เวห์ดา” ทีมในลีกดิวิชั่น 1 ซาอุดิอาระเบีย
ก่อนที่ในปี 2016 กีคีวิซจะย้ายมาเล่นในประเทศไทย กับ “ราชบุรี มิตรผล เอฟซี” ทีมในศึกไทยลีก แต่ในช่วงเลกที่ 2 เขาก็ถูกปล่อยให้ “บีอีซี เทโรศาสน” ยืมตัวไปใช้งาน และกลายเป็นตัวหลักของทีมทันที โดยเจ้าตัวลงสนามไป 21 นัด รวมทุกรายการ ยิงไป 6 ประตู
ก่อนที่ในปีต่อมา เขาได้ตัดสินใจย้ายออกจากประเทศไทย ไปเล่นให้กับ “อัล-ไฟซาลี” ทีมในลีกจอร์แดน และพาทีมคว้า 3 แชมป์ในปีเดียว พร้อมคว้าสิทธิ์ไปเล่นในศึกฟุตบอล AFC Champions League รอบเพลย์ออฟ แต่ก็บุกไปแพ้ “นาซาฟ คาร์ชิ” ทีมแกร่งจากอุซเบกิสถาน ด้วยสกอร์ 1-5 ทำให้ต้องกลับมาเล่นในถ้วยเล็กอย่าง AFC Cup ตามเดิม
และกีคีวิซ ก็ประเดิมนัดแรกในศึก AFC Cup 2018 รอบแบ่งกลุ่มได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการยิง 1 ประตู ในเกมที่เปิดบ้านตามตีเสมอ “อัล-วาห์ดา” ทีมจากซีเรียไป 2-2