จากเมื่อวานนี้ ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ที่ “ทัพเสือเหลือง” ทีมชาติมาเลเซีย เปิดบ้านเอาชนะ “ทีมชาติไทย” ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 แบบฝังใจแฟนช้างศึกทั่วประเทศ วันนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงผู้ชายที่พาเสือเหลืองตัวนี้ กัดช้างศึกจมเขี้ยวกันดีกว่า
ผู้ชายคนนี้ชื่อว่า “ตัน เชง โฮ”
ตัน เชง โฮ ที่ปัจจุบันอายุย่างเข้าวัย 51 กะรัตนั้น เกิดในปี 1968 ในครอบครัวชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน มีพื้นเพภูมิลำเนาอยู่ในเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์ และมีเชื้อสายไทยจากคุณย่าที่เป็นคน จ.ภูเก็ต
เชง โฮ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 1988 กับ “เคดาห์ เอฟเอ” ทีมบ้านเกิดของตัวเองใน M League ของมาเลเซีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของสโมสร ตีคู่มากับทีมที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลอย่างสลังงอร์เลยก็ว่าได้ และในช่วง 7 ฤดูกาลที่เจ้าตัวค้าแข้งกับทีมรัฐบ้านเกิดนั้น ก็คว้าแชมป์ติดไม้ติดมือ และสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาปีเดียวและคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ทันที ด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 มาเลเซีย ในปี 1992 และคว้าแชมป์ลีกสูงสุด หรือดิวิชั่น 1 มาเลเซีย ในปี 1993 และคว้ารองแชมป์ในปีถัดมา และพาทีมเข้าชิงมาเลเซีย คัพ ได้ถึง 3 ปีติดต่อกัน แต่กว่าจะคว้าแชมป์ได้ ต้องรอถึงครั้งที่ 3 ในปี 1990
เคดาห์ เอฟเอ ในช่วงนั้น มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของมาเลเซีย และสิงคโปร ค้าแข้งอยู่ในทีมหลายคน ซึ่งในปัจจุบันหลายคนก็ผันตัวไปเป็นโค้ช เช่น “วราดาราจู สุนทรามูรตี” มิดฟิลด์รุ่นพี่ทีมชาติสิงคโปร ที่ย้ายจาก “เอฟซี บาเซิ่ล” มาอยู่กับเคดาห์เมื่อช่วงปี 1989-1990 ที่ภายหลังได้โอกาสมาเป็นโค้ชทีมชาติสิงคโปร ถึง 2 ครั้ง ก่อนที่ปัจจุบันจะไปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติลาว จากการแนะนำของ “ไมค์ วอง” ผู้เป็นอาจารย์
เชง โฮ ค้าแข้งอยู่กับเคดาห์อยู่ 7 ฤดูกาล จนถึงปี 1995 และมีอาการบาดเจ็บหนักจนต้องหยุดเล่นไปถึง 1 ซีซั่น และเขาก็กลับมาในปี 1997 ด้วยการมาร่วมทีมศัตรูเบอร์ 1 ของบ้านเกิดตัวเองอย่าง “ปีนัง เอฟเอ” ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมที่เริ่มจะมีชื่อเสียงในขณะนั้นอย่าง “กลันตัน เอฟเอ” ในปี 1999 และแขวนสตั๊ดไปในวัย 31 ปี
แน่นอนว่าในชีวิตช่วงค้าแข้งอยู่ในมาเลเซีย ด้วยความที่ เชง โฮ เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ย่อมถูกนักเตะที่เป็นชาวพื้นเมืองมาเลเซียสบประมาทและดูถูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้ฝีมือเพลงแข้งของเขา ฝ่าฝันสิ่งเหล่านั้นมาได้
สำหรับผลงานในนามทีมชาติของเชง โฮ เสียดายที่ตัวเขาเกิดมาผิดยุค เขาอยู่ในยุคที่ทีมชาติมาเลเซียไม่ค่อยให้โอกาสกับคนต่างเชื้อสายมากเท่าไหร่นัก ทำให้เขามีโอกาสติดทีมชาติมาเลเซียแค่ในรุ่น U18 เท่านั้น ในปี 1986
ตัน เชง โฮ ห่างหายจากฟุตบอลไปประมาณ 5 ปี หลังจากที่เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด ในปี 2004 เขาก็ได้รับโอกาสจากสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย เข้ามาเป็นผู้ช่วยในทีมชาติมาเลเซีย ชุด U19 และในปีแรกที่เจ้าตัวเข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วย เขาก็มีส่วนพาทีมชาติมาเลเซีย U19 เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในฟุตบอล AFC Youth Championship 2004 และถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรอบ 30 ปี และจนถึงวันนี้ ทีมชาติมาเลเซีย ก็ยังไม่สามารถเข้าไปถึงรอบนั้นได้อีกเลย
หลังจากนั้นในปี 2007 เขาก็ขยับขึ้นไปเป็นผู้ช่วยของ “ออง กิม สวี” ในทีมชาติมาเลเซีย U23 และนี่ถือเป็นยุครุ่งเรืองของเขา ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลชายซีเกมส์ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2009,2011 และพาทีมเข้ารอบสอง ในฟุตบอลเอเชี่ยนเกมส์ 2010 ที่กว่างโจวอีกด้วย
และในปี 2009 เขาก็ได้รับอีกบทบาทเพิ่มเข้ามา คือการเข้ามาเป็นผู้ช่วยของทีมชาติมาเลเซีย ชุดใหญ่ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบแดงของเจ้าตัว ด้วยการมีส่วนพาทีมคว้าแชมป์ AFF Suzuki Cup 2010 ด้วยการเอาชนะ “ทีมชาติอินโดนิเซีย” แบบทั้งไปทั้งกลับในรอบชิงชนะเลิศ ชนิดสะใจสาวกเสือเหลืองทั้งประเทศ และเป็นแชมป์อาเซียนครั้งแรกและครั้งเดียวอีกด้วย
หลังจากที่ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยมานาน โอกาสในการที่เขาจะได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนก็มาถึง ในปี 2014 เขาได้รับโอกาสจาก “เคดาห์ เอฟเอ” ทีมบ้านเกิดและอดีตต้นสังกัดสมัยที่ตนเองเป็นนักเตะอาชีพ แต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน แต่งานที่เขาได้รับ มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย
เคดาห์ เอฟเอ ในช่วงนั้น ถือเป็นยุคตกต่ำ หลังจากฤดูกาล 2012 พวกเขาจบในอันดับ 12 ของตารางจาก 14 ทีม ในศึกมาเลเซีย ซุปเปอร์ลีก และในฤดูกาลดังกล่าวทางลีกต้องการทีมตกชั้นถึง 4 ทีม เพื่อลดทีมลงมาเหลือ 12 ทีม เหมือนเช่นปัจจุบัน ซึ่งเคดาห์ในฐานะทีมอันดับ 12 ทำให้ยังได้โอกาสอีกเฮือกที่จะรอดตกชั้นด้วยการเพลย์ออฟ ที่นำเอาทีมอันดับ 11,12,13 ของลีกสุงสุด มาเพลย์ออฟกับรองแชมป์ลีกรองอย่าง “ปะหัง เอฟเอ” ซึ่งในนัดแรกพวกเขาเอาชนะ “ซาบาห์ เอฟเอ” ทีมอันดับ 13 มาได้ แต่กลับไปแพ้ปะหังในรอบชิงฯ จากการดวลจุดโทษ จึงมีอันต้องตกชั้นลงมาเล่นในลีกรอง และในปีก่อนหน้านั้น (2013) เคดาห์ ที่นำโดย “มารริโจ ท็อต” กุนซือชาวโครเอเชีย ที่มีดีกรีเป็นอดีตผู้ช่วยของ “วาฮิด อาลีฮอดซิซ” อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่นในสมัยที่ยังคุมทีมดินาโม ซาเกร็บ ทำทีมจบอันดับที่ 4 แบบชนิดที่พลาดช่วงโค้งสุดท้าย ชวดตั๋วเลื่อนชั้นกลับไปเล่นลีกสูงสุดอย่างน่าเสียดาย ทำให้งานของตัน เชง โฮ นั้น เป็นงานหนักทันที
และในฤดูกาล 2014 เคดาห์ ในการนำทัพของตัน เชง โฮ ก็ยังพาทีมย่ำรอยเดิมด้วยการจบอันดับที่ 4 แต่ด้วยผลงานในฟุตบอลถ้วยทั้ง 2 ถ้วย อย่างมาเลเซีย FA Cup ที่เข้ารอบลึกถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และมาเลเซีย คัพ ที่ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะแพ้ให้กับ “ปะหัง เอฟเอ” ทีมแชมป์ในปีนั้นที่เคยเขี่ยพวกเขาตกชั้นเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้เชง โฮ ยังได้รับความไว้วางใจ และคุมทีมต่อไป
มาถึงในฤดูกาล 2015 เชง โฮ ก็ไม่ทำให้แฟนๆ เคดาห์ ต้องผิดหวัง ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์มาเลเซีย พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนั้นได้สำเร็จ และในเกมสุดท้ายของฤดูกาล เขาพาทีมเอาชนะ DRB-Hicom FC ได้ที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลิล และฉลองแชมป์ที่สนามดังกล่าว จึงไม่แปลกใจที่ว่าทำไม เชง โฮ ถึงเคยกล่าวไว้ว่า สนามบูกิต จาลิล คือสนามที่เขาถูกชะตามากที่สุด
และผลงานในบอลถ้วย แม้เชง โฮ จะพาเคดาห์ไปไกลแค่รอบที่ 3 ใน FA Cup แต่ในฟุตบอลถ้วยมาเลเซีย คัพ เขาพาทีมเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ก็แพ้ให้กับ “สลังงอร์ เอฟเอ” ยักษ์ใหญ่ของลีกไปด้วยสกอร์ 0-2 แต่ด้วยในฐานะทีมลีกรองก็ถือว่าพวกเขามาไกลกว่าที่คิดไว้มากแล้ว
มาถึงในปี 2016 และนี้คือครั้งแรกของ ตัน เชง โฮ กับ เคดาห์ เอฟเอ ในลีกสูงสุด แต่เขาก็ใช้นักเตะที่มีอยู่ ถึงแม้จะไม่ใช่นักเตะซุปเปอร์สตาร์ที่มีชื่อเสียง แต่เขาก็เค้นศักยภาพที่มีออกมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยม พาทีมจบอันดับที่ 3 ด้วยผลงานอันร้อนแรง เก็บไป 40 คะแนน จาก 22 นัด (ตามจริงมี 37 คะแนน เนื่องจากถูกหักไป 3 คะแนนในเกมที่ชนะปะหัง เพราะส่งผู้เล่นผิดกฎลงสนาม)
นอกจากนั้น ผลงานเด่นในปี 2016 คือการเข้ารอบรองชนะเลิศในฟุตบอลเอฟเอ คัพ และล้างตาเอาชนะ “สลังงอร์ เอฟเอ” ในรอบชิงชนะเลิศมาเลเซีย คัพ ด้วยการดวลจุดโทษ คว้าแชมป์ไปแบบสะใจแฟนบอลทั้งรัฐ
แต่ในปี 2017 เขาก็ตัดสินใจวางมือจากทีมบ้านเกิดของตัวเอง ที่เขาปลุกปั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด และกลับไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติมาเลเซีย ในยุคของ “เนโล่ วินกราด้า” กุนซือชาวโปรตุเกส
ซึ่งในช่วงที่เขากลับมารับงานผู้ช่วยนั้น ทีมชาติมาเลเซียเข้าสู่ยุคตกต่ำหลังพลาดแชมป์ AFF Suzuki Cup 2014 และเหมือนกับเป็นยุคตกต่ำที่สุดของตัวเองในนามทีมชาติก็ว่าได้ ด้วยสถิติไม่ชนะทีมใดเลยทุกรายการตลอดปี 2017 และพาทีมชาติมาเลเซีย ตกรอบคัดเลือกฟุตบอล AFC Asian Cup 2019 จนทำให้กุนซือชาวโปรตุเกสต้องถึงกับไขก็อกลาออกจากตำแหน่ง
และหลังจากการลาออกของเนโล่ ทำให้โอกาสที่ใหญ่ที่สุด เดินเข้ามาในชีวิตของตัน เชง โฮ คือการได้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติมาเลเซีย แต่โอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ ก็เข้ามาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ท่ามกลางเสียงค่อนขอดของแฟนบอลที่ยังไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนครั้งแรก
ตัน เชง โฮ เริ่มงานในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอนของมาเลเซียได้ไม่ค่อยสวยหรูนัก ด้วยการอุ่นเครื่องเสมอกับมองโกเลีย และบุกไปแพ้เลบานอนในฟุตบอล AFC Asian Cup 2019 รอบคัดเลือก
และถึงแม้ว่าเขาจะพาทีมชนะในเกมอุ่นเครื่อง FIFA Day 2 นัด ด้วยการชนะภูฏาน และ ฟิจิ แต่การบุกไปแพ้ไชนีสไทเป ในช่วงอุ่นเครื่องเตรียมทีมก่อนฟุตบอล AFF Suzuki Cup 2018 ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามและความหวั่นใจ ก่อนที่เชง โฮ จะลบสิ่งนั้นได้หมดอย่างสิ้นเชิงด้วยการบุกไปเอาชนะกัมพูชา และศรีลังกา
มาถึงฟุตบอล AFF Suzuki Cup 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกในทัวร์นาเม้นต์นี้ของ “ตัน เชง โฮ” ในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอน เขาแบกความหวังของแฟนบอลเสือเหลืองทั้งประเทศไว้ที่หลัง และทำผลงานได้อย่างดีในรอบแบ่งกลุ่ม จากการเก็บ 9 คะแนน จาก 4 นัด แพ้เพียงแค่ “ทีมชาติเวียตนาม” ที่ฟอร์มค่อนข้างร้อนแรง เข้ารอบรองชนะเลิศในฐานะรองแชมป์กลุ่ม A และต้องมาพบกับแชมป์เก่าอย่าง “ทีมชาติไทย”
การพบกับแชมป์เก่า 5 สมัย อย่างทัพช้างศึก ที่มีเป้าหมายคว้าแชมป์สมัยที่ 6 และเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายของเขาเลย
ในเกมนัดแรก เขาพาทีมเปิดบ้านยันเสมอ 0-0 ท่ามกลางแฟนบอลที่เข้ามาให้กำลังใจเต็มสนาม แน่นอนว่าผลการแข่งขันนี้เป็นที่น่าหนักใจอย่างยิ่ง เพราะในเกมต่อไปคือการไปเยือนทีมชาติไทย ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
แต่ในเกมที่ 2 เขากลับสร้างเซอร์ไพรส์ พาทีมชาติมาเลเซียบุกไปเสมอกับทีมชาติไทย 2-2 ชนิดแบบมีโชคช่วยในนาทีสุดท้าย ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้งในรอบ 4 ปี ทำแฟนบอลชาวไทยน้ำตาร่วงทั้งสนาม แต่สุดท้ายก็ได้เพียงแค่รองแชมป์หลังพ่ายให้กับ “ทีมชาติเวียตนาม” ที่ผลงานร้อนแรงสุดๆ ในรอบชิงชนะเลิศชนิดทั้งไปและกลับ
และในปี 2019 ตัน เชง โฮ ก็ทำให้แฟนบอลเสือเหลืองมีความสุขแบบสุดๆ ด้วยการพาทีมเก็บชัยชนะเหนือ “ทีมชาติไทย” 2-1 ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก แบบที่เขาตั้งใจไว้ และเป็นการชนะทีมชาติไทยครั้งแรก
ชีวิตของผู้ชายคนนี้ มีทั้งขึ้นสุด ลงสุด ในทุกช่วงชีวิตจริงๆ
นับจากนี้ ตัน เชง โฮ จะพาเสือเหลืองไปได้ไกลแค่ไหน ต้องตามดูกันต่อไป
Cr. ภาพ : FAM.org.my